ผลงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ ช่วง ๖ เดือน (12 กันยายน ๒๕๕๗–12 มีนาคม ๒๕๕๘)

View icon 8
วันที่ 21 เม.ย. 2558
แชร์

กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินงานทั้งการแก้ปัญหาที่คั่งค้างมาจากรัฐบาลที่ผ่านๆมา  และวางแนวทางดำเนินงานระยะยาวโดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้

1. การบริหารจัดการสินค้าเกษตรหลักที่สำคัญในเชิงรุก
1.1  ข้าว
• ระบายข้าวในสต็อกผ่านการประมูลทั่วไป รวม6 ครั้ง และขายข้าวฤดูใหม่ให้กับรัฐบาลต่างประเทศ ๔ สัญญา ปริมาณรวมประมาณ ๓ ล้านตัน  มูลค่ารวมประมาณ ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท  ซึ่งปริมาณข้าวที่ขายให้กับรัฐบาลต่างประเทศ ประกอบด้วย จีน ๔แสนตัน  ฟิลิปปินส์ ๕แสนตัน  และอินโดนีเซียอีก ๑.๕ แสนตันและยังมีสัญญาอยู่ระหว่างการเจรจาส่งมอบในระยะต่อไปอีกกว่า ๒.๖ ล้านตัน  ทั้งนี้มีผลจากการผลักดันการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗  ทำให้เมื่อสิ้นปี ๒๕๕๗ ยอดส่งออกข้าวทะลุกว่า ๑๐ ล้านตัน สามารถทวงแชมป์ส่งออกข้าวโลกคืนมาได้อีกครั้ง  นอกจากนี้มีแผนจะเดินทางไปทวงคืนและขยายตลาดข้าวในอีกหลายประเทศ
• ช่วยเหลือเกษตรกรโดยไม่ใช้มาตรการบิดเบือนกลไกตลาดผ่านการขอความร่วมมือผู้ประกอบการเอกชนซึ่งมีมาตรการสำคัญ อาทิ มาตรการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร ทำให้ต้นทุนลดลงโดยเฉลี่ยไร่ละ ๔๓๒ บาทมาตรการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรเพื่อชะลอการขายมาตรการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกข้าวเปลือก และจัดตลาดนัดรับซื้อจากเกษตรกรช่วยให้ราคา ณ ท่าข้าว โรงสี ปรับเพิ่มขึ้นตันละ ๑๐๐-800บาท  เป็นต้น ผลของมาตรการดังกล่าวช่วยให้รักษาระดับราคาข้าวเปลือกเจ้า ความชื้น ๑๕% ไว้ที่ราคาตันละ ๘,๒๐๐-๘,๕๐๐ บาท และจะดำเนินการต่อไปสำหรับนาปรัง
1.2 สินค้าเกษตรอื่นๆ  ได้วางแผนเชิงรุกร่วมกับกระทรวงเกษตรฯเพื่อเตรียมรับมือก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่สินค้ามันสำปะหลัง ผลไม้ ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด และยางพารา
1.3 ผลไม้ได้กำหนดแผนการระบายผลไม้ไปยังตลาดที่ห่างไกลแหล่งผลิต รวมถึงด่านการค้าชายแดนและการส่งออก โดยจัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าผักและผลไม้ไปเยือนอินโดนีเซีย มีการสั่งซื้อผลไม้สดทันทีมูลค่ากว่า35 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อเพิ่มอีกกว่า 190 ล้านบาท

2. การดูแลค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย
2.1 ติดตาม เฝ้าระวัง สถานการณ์และราคาสินค้าทุกวัน รวมถึงการชั่งตวงวัด เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภคและปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย
2.2 จัดงาน "ธงฟ้า"ตามจังหวัดและอำเภอต่างๆ และจัด"ธงฟ้าเคลื่อนที่"ถึงบ้านผู้มีรายได้น้อยตามแหล่งชุมชนทุกจังหวัดเพื่อสร้างทางเลือกให้คนไทยมีสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดกว่าร้อยละ ๓๐ มีการจัดต่อเนื่องรวมทั้งสิ้น 1,000 ครั้ง  มูลค่าจำหน่ายกว่า 1,300 ล้านบาท  ลดค่าครองชีพได้ถึง 5๕0 ล้านบาท
2.3โครงการ "เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน"โดยร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีกค้าส่ง ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อกว่า 12,000 สาขาทั่วประเทศ  พร้อมใจกันลดราคาถึงร้อยละ 70
มียอดขายทั้งสิ้นประมาณ 50,000ล้านบาทและช่วงเปิดเทอม ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน ถึง ๑๐ พฤษภาคม ได้จัดทำโครงการ "เทใจ คืนสุข ต้อนรับเปิดเทอม"ร่วมกับห้างและร้านค้าทั่วประเทศเพื่อลดราคาชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ เป็นการลดภาระผู้ปกครองห้วงเวลาเปิดเทอม
2.4 โครงการ"หนูณิชย์พาชิม" เป็นการคืนความสุขทุกจานให้แก่ประชาชนโดยคัดสรรร้านอาหารราคาถูก สะอาด ดี และอร่อย  ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 2,600 ร้านทั่วประเทศ จำหน่ายจานละ 30-35 บาท สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนได้ถึงวันละเกือบ 2.2 ล้านบาท

3. ด้านต่างประเทศ
3.1 ให้ความสำคัญกับ AEC รวมทั้งการเจรจาระหว่างอาเซียนกับคู่ค้า ๖ ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย หรือRCEP(Regional Comprehensive Economic Partnership) จะครอบคลุมตลาดที่มีประชากรกว่า ๓ พันล้านคน
3.2 เจรจา FTAคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้เริ่มการเจรจากับตุรกีและปากีสถาน เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่กับ ๑๖ ประเทศ รวมทั้งอาเซียน
3.3 นำคณะไปRoad show ณ ประเทศอินเดียตกลงร่วมกับรัฐมนตรีการค้าอินเดียจะขยายการเจรจา FTA ของสองประเทศ และเอกชนได้ลงนาม MOUหลายฉบับ อาทิ การก่อสร้างท่าเรือในมุมไบมีมูลค่า ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท การลงทุนของภาคเอกชนของอินเดียตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ ณ จังหวัดระยองเพื่อส่งออก มูลค่าการลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท  ซึ่งจะมีผลให้ใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มปีละกว่าแสนตัน
3.4 ด้านการส่งออกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่า 92,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 0.88เนื่องจากประสบปัญหาอาทิ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า ค่าเงินของคู่ค้าคู่แข่งอ่อนตัวลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาทไทย ประกอบกับราคาน้ำมันและสินค้าเกษตรโลกลดต่ำ เป็นต้น กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่จะรักษาตลาดหลัก โดยใช้กลยุทธ์ เช่น จัดงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ในประเทศ เพื่อให้ผู้ซื้อต่างประเทศมาเลือกสินค้า นำผู้ประกอบการไทยไปจัดกิจกรรมในต่างประเทศ และดำเนินมาตรการผลักดันตลาดใหม่ๆที่จะส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เมืองรองในประเทศ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เป็นต้น  นอกจากนั้น ยังขอความร่วมมือผู้ประกอบการรายใหญ่ ดำเนิน “โครงการพี่จูงน้อง” ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่นำผู้ประกอบการ SMEs บุกตลาดต่างประเทศ ในช่วง ๖ เดือนที่ผ่านมามีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการต่างๆกว่า  ๕,๐๐๐ ราย โดยมีสินค้าเป้าหมาย ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว อาหารเสริม เครื่องดื่ม สปาและผลิตภัณฑ์สปา

4. การเตรียมความพร้อมให้ไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนโดยกำหนดเป้าหมายผลักดันมูลค่าการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนและการค้าผ่านแดนให้ถึง ๑.๕ ล้านล้านบาท ในปี ๒๕๕๘ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๓๕จากปีก่อนหน้า โดยได้ริเริ่ม “แม่สอดโมเดล”
4.1 จัดงานมหกรรมการค้าชายแดนและจับคู่ธุรกิจ ณ จังหวัดตาก เกิดการซื้อขายทันทีรวมกว่า ๔๐๐ ล้านบาท  และทำสัญญาเพื่อลงทุนระหว่างกันไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีการหารือระหว่างรัฐมนตรีประเทศเพื่อนบ้านกำหนดแนวทางความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน  ทั้งนี้ได้จัดเพิ่มเติมแล้ว ณ จังหวัดมุกดาหารและสระแก้ว  และกำหนดจะจัดต่อไป ณ จังหวัดตราดและสงขลา
4.2 อำนวยความสะดวกทางการค้า
• จัดตั้งศูนย์AEC Business Support Centerใน 8 ประเทศอาเซียนให้บริการข้อมูลเชิงลึกด้านการค้าการลงทุนมีผู้ประกอบการไปขยายตลาดอาเซียนได้ 534 ราย มีมูลค่าการสั่งซื้อประมาณ 1,511 ล้านบาท
• เร่งสร้างศักยภาพธุรกิจไทยอย่างครบวงจร โดยยกระดับการบริหารจัดการและเชื่อมโยงเครือข่ายมากกว่า 17,000รายอีกทั้งพัฒนาและให้บริการด้านการค้าระหว่างประเทศแก่ผู้ประกอบการและนักออกแบบพร้อมสู่เวทีการค้าโลกอีกกว่า 57,000ราย
• เร่งรัดจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ขจัดคำขอเครื่องหมายการค้าที่ค้างอยู่ประมาณกว่า๔๐,๐๐๐ คำขอ และลดระยะเวลาการจดทะเบียนจากเดิม ๒๐ เดือน เหลือ ๙ เดือน ทำลายของกลางละเมิดร่วม ๗ แสนชิ้นมูลค่าความเสียหายกว่า ๒,๐๐๐ ล้านบาทสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนกว่า ๕,๖๐๐ ราย  รวมทั้งสนับสนุนให้มีการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า
• นำเทคโนโลยีใหม่ๆมาอำนวยความสะดวกทางการค้า  อาทิ จัดตั้งคลังข้อมูลการค้า ให้บริการรับงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Filing) ขยายตลาดการค้าผ่านเว็บไซต์ Thaitrade.com และ Thaicommercestore.comเป็นต้นทั้งนี้  จะจัดทำแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ "ลายแทงของถูก"เพื่อเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าอย่าง "ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้" เริ่มเปิดบริการในเดือนพฤษภาคม นี้

5.  การวางรากฐานในอนาคตเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นชาติการค้า
5.1 ด้านโครงสร้างได้ผลักดันจัดตั้งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าเพื่อทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนสู่ชาติการค้า 
5.2ขยายการค้าบริการให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน  พัฒนาโลจิสติกส์  และจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นชาติการค้าต่อไป
5.3 ด้านกฎหมายปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย เป็นสากลมากขึ้น เช่น พ.ร.บ. เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา  พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า  พ.ร.บ.นำเข้าส่งออก เป็นต้น เพื่อก้าวสู่ชาติการค้า